ในยุคที่เทคโนโลยีทางการเงินเติบโตอย่างรวดเร็ว “คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency)” กลายเป็นคำที่หลายคนคุ้นหู ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, Ethereum หรือเหรียญดิจิทัลอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก แต่สิ่งสำคัญที่นักลงทุนจำนวนมากมักมองข้ามคือ “กฎหมายคริปโตกับการลงทุน” ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและความถูกต้องของการลงทุนในระยะยาว
บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย รวมถึงข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงที่นักลงทุนควรเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนในคริปโต
คริปโตเคอร์เรนซีคืออะไร

คริปโตเคอร์เรนซี คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยี “บล็อกเชน (Blockchain)” ในการจัดเก็บและตรวจสอบข้อมูลธุรกรรม ทำให้ระบบมีความปลอดภัย โปร่งใส และยากต่อการปลอมแปลง
คริปโตสามารถใช้ในการแลกเปลี่ยน ซื้อขาย หรือเก็บเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนได้ โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่างธนาคาร แต่ในขณะเดียวกัน ความอิสระนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงทางกฎหมายที่นักลงทุนจำเป็นต้องรู้
กฎหมายคริปโตในประเทศไทย
ประเทศไทยมีกฎหมายเฉพาะที่ใช้ควบคุมและกำกับดูแลธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลคือ
พระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561
อยู่ภายใต้การดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
กฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลอกลวงทางการเงิน การฟอกเงิน และสร้างมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ
ธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับของกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล
- ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange)
แพลตฟอร์มที่ให้บริการซื้อขายเหรียญ เช่น Bitkub, Satang Pro - นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker)
ผู้ให้บริการเชื่อมต่อระหว่างนักลงทุนกับตลาดซื้อขาย - ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer)
ผู้ที่ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อผลกำไรของตนเอง - ผู้ออกโทเคนดิจิทัล (Issuer)
ผู้ที่ต้องการระดมทุนด้วยการออกเหรียญหรือโทเคนใหม่ เช่น ICO
หากผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจเหล่านี้โดยไม่ขออนุญาตจาก ก.ล.ต. จะมีความผิดตามกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 500,000 บาท
ภาษีจากการลงทุนในคริปโต
กฎหมายคริปโตกับการลงทุนไม่ได้หมายถึงการกำกับดูแลเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงภาระทางภาษีที่นักลงทุนต้องรับผิดชอบด้วย
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับคริปโต
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา:
กำไรจากการขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโตถือเป็นรายได้ ต้องเสียภาษี 15% - ภาษีหัก ณ ที่จ่าย:
บางแพลตฟอร์มจะหักภาษี 15% ก่อนโอนเงินให้ผู้ลงทุน - ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT):
ผู้ประกอบธุรกิจที่ให้บริการด้านคริปโตอาจต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด
นักลงทุนควรเก็บหลักฐานการซื้อขายและมูลค่าของเหรียญไว้ครบถ้วน เพื่อใช้ประกอบการยื่นภาษีในแต่ละปีอย่างถูกต้อง
ข้อดีของการลงทุนภายใต้กฎหมายคริปโต
- สร้างความมั่นใจให้นักลงทุน
เมื่อธุรกิจต้องได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. หมายความว่า ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยและมาตรฐาน - ลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวง
กฎหมายช่วยควบคุมไม่ให้มีการหลอกลวงในรูปแบบแชร์ลูกโซ่หรือ ICO ปลอม - ระบบภาษีที่โปร่งใส
นักลงทุนรู้ชัดว่าต้องเสียภาษีเท่าใดและอย่างไร ทำให้สามารถวางแผนทางการเงินได้ถูกต้อง - สนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ๆ
การมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนช่วยให้ธุรกิจบล็อกเชนและสตาร์ทอัพด้านการเงินเติบโตได้อย่างถูกต้อง - ยกระดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
นักลงทุนต่างชาติจะมองว่าประเทศไทยมีระบบกำกับดูแลที่ดี ส่งผลให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น
ข้อเสียหรือข้อจำกัดของกฎหมายคริปโตกับการลงทุน
- ขั้นตอนทางกฎหมายซับซ้อน
นักลงทุนใหม่อาจรู้สึกว่ายากต่อการทำความเข้าใจหรือปฏิบัติตาม - ภาระภาษีสูงสำหรับนักลงทุนรายย่อย
การหักภาษี 15% อาจเป็นภาระ โดยเฉพาะผู้ที่เทรดบ่อยแต่กำไรไม่มาก - กฎหมายยังไม่เสถียร
เนื่องจากคริปโตเป็นเรื่องใหม่ รัฐบาลยังปรับปรุงกฎระเบียบอยู่เสมอ อาจทำให้นักลงทุนรู้สึกไม่มั่นคง - ไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงทางเทคนิคได้ทั้งหมด
เช่น การแฮ็กกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือการสูญเสียเหรียญจากความผิดพลาดของแพลตฟอร์ม
คุณอาจจะสนใจอ่านโพสต์เหล่านี้เพิ่มเติม:
ราคาบิตคอยน์ล่าสุด – สิ่งที่คุณควรรู้แบบเข้าใจง่าย
ราคาเหรียญอีเธอเรียม (Ethereum): ทุกสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนลงทุน
ราคาเหรียญใหม่มาแรง: โอกาส ความเสี่ยง และสิ่งที่นักลงทุนควรรู้
ราคาเหรียญดิจิทัลไทย: เจาะลึกทุกเรื่องที่คุณควรรู้ก่อนลงทุน
ความเสี่ยงที่นักลงทุนควรระวัง

แม้จะมีกฎหมายคุ้มครอง แต่การลงทุนในคริปโตก็ยังมีความเสี่ยง เช่น
- ความผันผวนของราคาเหรียญสูงมาก
- ความเสี่ยงจากการลงทุนในโครงการที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน
- การเก็บเหรียญไว้ในแพลตฟอร์มที่อาจถูกแฮ็ก
แนวทางที่ดีคือ ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เลือกลงทุนกับแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และใช้เงินลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้
สรุป: ทำไมกฎหมายคริปโตกับการลงทุนจึงสำคัญ
“กฎหมายคริปโตกับการลงทุน” เป็นหัวใจสำคัญของการเข้าสู่โลกสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย กฎหมายช่วยป้องกันการหลอกลวง สร้างความโปร่งใสในตลาด และให้แนวทางที่ชัดเจนสำหรับทั้งนักลงทุนและผู้ประกอบการ
หากนักลงทุนเข้าใจกฎหมายและปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง จะสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจ โปร่งใส และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน
การลงทุนที่ดีไม่ใช่เพียงแค่การแสวงหากำไรสูงสุด แต่คือการลงทุนที่ถูกต้องตามกฎหมายและคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง
คำถามที่พบบ่อย
1. กฎหมายคริปโตในประเทศไทยคืออะไร?
กฎหมายคริปโตในประเทศไทยคือ พระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ซึ่งออกมาเพื่อควบคุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น ศูนย์ซื้อขาย นายหน้า หรือผู้ออกเหรียญ ให้ดำเนินการอย่างถูกต้องและโปร่งใส ภายใต้การกำกับของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
2. นักลงทุนคริปโตต้องเสียภาษีหรือไม่?
ต้องเสียภาษีครับ โดยกำไรจากการขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโตถือเป็นรายได้ ต้องเสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 15% และบางแพลตฟอร์มมีการ หักภาษี ณ ที่จ่าย อัตโนมัติ นักลงทุนจึงควรเก็บหลักฐานการซื้อขายเพื่อยื่นภาษีให้ถูกต้อง
3. ซื้อขายคริปโตผ่านแพลตฟอร์มใดจึงจะถูกกฎหมาย?
ควรเลือกแพลตฟอร์มที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. เท่านั้น เช่น Bitkub, Satang Pro หรือแพลตฟอร์มที่อยู่ในรายชื่อที่ทาง ก.ล.ต. ประกาศรับรอง สามารถตรวจสอบรายชื่อได้จากเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. โดยตรง
4. ถ้าเทรดคริปโตโดยไม่ได้จดทะเบียนธุรกิจจะผิดกฎหมายไหม?
หากเป็นการเทรดเพื่อการลงทุนส่วนตัว ไม่ได้ประกอบธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จะไม่ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ถ้ามีการให้บริการผู้อื่น เช่น รับฝาก ซื้อขายแทน หรือระดมทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ถือว่าผิดกฎหมายและมีโทษตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล
5. กฎหมายคริปโตปกป้องนักลงทุนอย่างไร?
กฎหมายช่วยให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโตต้องผ่านการตรวจสอบ มีมาตรฐานความปลอดภัย และเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ลดโอกาสที่นักลงทุนจะถูกหลอกลวงในรูปแบบแชร์ลูกโซ่หรือโครงการ ICO ปลอม
