หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจลงทุนในบิตคอยน์หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ คงสงสัยว่า “ตอนนี้ประเทศไทยมีกฎหมายอะไรใหม่บ้างเกี่ยวกับบิตคอยน์?”
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ กฎหมายบิตคอยน์ล่าสุด อย่างละเอียด และอธิบายทั้งข้อดีและข้อเสียในมุมของนักลงทุนและผู้ประกอบการแบบเป็นกันเอง
บิตคอยน์คืออะไรในมุมมองของกฎหมายไทย

ตามกฎหมายไทย บิตคอยน์ ไม่ได้ถือเป็นเงินตรา (Legal Tender) ที่สามารถใช้ซื้อขายสินค้าหรือบริการได้โดยตรง แต่ถูกจัดประเภทเป็น “สินทรัพย์ดิจิทัล” (Digital Asset) ภายใต้ พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561
หมายความว่า
- บุคคลทั่วไปสามารถ ถือครอง ซื้อขาย หรือลงทุนในบิตคอยน์ได้
- แต่การนำบิตคอยน์มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ซื้อของหรือชำระค่าบริการโดยตรง ยังไม่ถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย
- หากต้องการใช้บิตคอยน์ในการใช้จ่าย ต้องผ่านระบบหรือแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจากรัฐเท่านั้น
หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายบิตคอยน์
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
เป็นหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลการออกใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) และโทเคนต่าง ๆ - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ดูแลเรื่องธุรกรรมทางการเงิน ระบบการชำระเงิน และความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ - สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
รับผิดชอบการตรวจสอบตัวตนผู้ใช้งาน (KYC) และควบคุมการฟอกเงินที่อาจเกิดจากการใช้คริปโต
กฎหมายบิตคอยน์ล่าสุดในปี 2025 (พ.ศ. 2568)
1. การแก้ไขพระราชกำหนดสินทรัพย์ดิจิทัล
รัฐบาลได้เสนอร่างแก้ไข พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้ครอบคลุมผู้ให้บริการจากต่างประเทศ
- ผู้ให้บริการใดที่เปิดให้คนไทยใช้งาน เช่น Exchange ต่างประเทศ ต้อง จดทะเบียนกับ ก.ล.ต.
- หากฝ่าฝืนจะมีโทษทางอาญา ทั้งจำคุกและปรับ
- วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อป้องกันการฟอกเงิน และคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการหลอกลวง
2. กฎหมายภาษีใหม่: มาตรการยกเว้นภาษีคริปโต 5 ปี
รัฐบาลได้ออก ร่างมาตรการยกเว้นภาษีกำไรจากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล สำหรับผู้ที่ซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.
- มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึง 31 ธันวาคม 2572
- การยกเว้นครอบคลุมเฉพาะการซื้อขายที่เกิดขึ้นภายในระบบที่ได้รับการกำกับดูแล
มาตรการนี้ช่วยให้การลงทุนในคริปโตมีต้นทุนภาษีต่ำลง และกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้แพลตฟอร์มที่ถูกต้องตามกฎหมาย
3. กฎเกณฑ์ด้านการฟอกเงินและการตรวจสอบตัวตน (AML/KYC)
ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลทุกรายต้อง
- ตรวจสอบและยืนยันตัวตนลูกค้าอย่างเข้มงวด
- รายงานธุรกรรมที่มีลักษณะผิดปกติ
- มีระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลตามมาตรฐาน
มาตรการเหล่านี้ช่วยลดโอกาสที่คริปโตจะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย
4. โครงการนำร่องแปลงคริปโตเป็นเงินบาทสำหรับนักท่องเที่ยว
รัฐบาลเริ่มโครงการนำร่องให้ นักท่องเที่ยวสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาท ผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาต เพื่อใช้จ่ายในประเทศ
- มีเพดานวงเงินและขั้นตอนยืนยันตัวตน
- เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจดิจิทัลในไทย
ประโยชน์ของกฎหมายบิตคอยน์ล่าสุด
| ด้าน | ประโยชน์ |
| ความปลอดภัย | ผู้ใช้ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมาย และลดความเสี่ยงจากการถูกโกงหรือหลอกลงทุน |
| ความโปร่งใสของตลาด | แพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตต้องเปิดเผยข้อมูลธุรกรรมและผ่านการตรวจสอบจาก ก.ล.ต. |
| ภาษี | นักลงทุนได้ประโยชน์จากการยกเว้นภาษีในช่วง 5 ปี ทำให้ต้นทุนลดลง |
| เศรษฐกิจ | โครงการนำร่องคริปโตช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความน่าเชื่อถือให้ประเทศไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ |
| เทคโนโลยีและนวัตกรรม | กฎหมายที่ชัดเจนช่วยผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนและฟินเทคในประเทศ |
คุณอาจจะสนใจอ่านโพสต์เหล่านี้เพิ่มเติม:
ราคาบิตคอยน์ล่าสุด – สิ่งที่คุณควรรู้แบบเข้าใจง่าย
ราคาเหรียญอีเธอเรียม (Ethereum): ทุกสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนลงทุน
ราคาเหรียญใหม่มาแรง: โอกาส ความเสี่ยง และสิ่งที่นักลงทุนควรรู้
ราคาเหรียญดิจิทัลไทย: เจาะลึกทุกเรื่องที่คุณควรรู้ก่อนลงทุน
ข้อเสียและข้อจำกัดของกฎหมายบิตคอยน์ล่าสุด

| ด้าน | ข้อเสียหรือข้อจำกัด |
| ความซับซ้อนของกฎหมาย | มีหลายหน่วยงานกำกับและกฎย่อยจำนวนมาก ทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าใจยาก |
| ผลกระทบต่อ Exchange ต่างประเทศ | แพลตฟอร์มต่างประเทศบางรายอาจหยุดให้บริการในไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการจดทะเบียน |
| ภาษี | การยกเว้นภาษีครอบคลุมเฉพาะธุรกรรมที่อยู่ในระบบที่ได้รับอนุญาต หากซื้อขายนอกระบบยังคงต้องเสียภาษี |
| ความเป็นส่วนตัว | การตรวจสอบตัวตน (KYC) ที่เข้มงวดอาจทำให้ผู้ใช้บางคนรู้สึกไม่สะดวก |
| การเปลี่ยนแปลงของนโยบาย | กฎหมายและมาตรการอาจถูกปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ตลาดโลก |
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนและผู้ใช้งานคริปโต
- เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.
เช่น Bitkub, Zipmex หรือ Satang เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกรรมถูกต้องตามกฎหมาย - เก็บหลักฐานการทำธุรกรรมทุกครั้ง
เช่น ใบเสร็จ รายงานจากระบบ หรือ Statement ของ Exchange เพื่อใช้ยืนยันแหล่งที่มาของเงินและภาษี - ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ
เนื่องจากกฎหมายคริปโตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ควรติดตามประกาศจาก ก.ล.ต., ธปท. และกระทรวงการคลัง - หลีกเลี่ยงแพลตฟอร์มที่ไม่มีใบอนุญาต
เพราะหากเกิดความเสียหาย จะไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
สรุป
- บิตคอยน์ในประเทศไทยถือเป็น “สินทรัพย์ดิจิทัล” ไม่ใช่เงินตรา
- การซื้อขายบิตคอยน์ต้องทำผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.
- กฎหมายบิตคอยน์ล่าสุดมุ่งเน้น 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ ความปลอดภัย ความโปร่งใส และการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
- นักลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 5 ปี หากซื้อขายภายในระบบที่ได้รับการกำกับ
- อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดเรื่องความซับซ้อนของกฎหมายและความเข้มงวดด้านการยืนยันตัวตน
บทส่งท้าย
กฎหมายบิตคอยน์ล่าสุด เป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยไม่ได้ปฏิเสธสินทรัพย์ดิจิทัล แต่เลือกที่จะ “ควบคุมและสนับสนุนอย่างมีระบบ”
สำหรับผู้ใช้และนักลงทุน การเข้าใจกรอบกฎหมายเหล่านี้คือสิ่งจำเป็น เพราะช่วยให้คุณสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมาย
คำถามที่พบบ่อย
1. บิตคอยน์ถูกกฎหมายในประเทศไทยหรือไม่?
ถูกกฎหมายในฐานะ “สินทรัพย์ดิจิทัล” ตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561
แต่ยังไม่ถือเป็นเงินตรา จึงไม่สามารถใช้ซื้อขายสินค้าและบริการโดยตรงได้ ต้องผ่านระบบที่ได้รับอนุญาตจากรัฐเท่านั้น
2. สามารถซื้อขายบิตคอยน์ได้ที่ไหนบ้าง?
คุณสามารถซื้อขายบิตคอยน์ได้ผ่าน ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ที่ได้รับอนุญาตจาก สำนักงาน ก.ล.ต. เช่น
Bitkub
Zipmex
Satang
การซื้อขายผ่านช่องทางอื่นที่ไม่ได้รับอนุญาตอาจมีความเสี่ยงและผิดกฎหมาย
3. ต้องเสียภาษีจากการขายบิตคอยน์หรือไม่?
โดยทั่วไป กำไรจากการขายบิตคอยน์ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แต่ตาม กฎหมายบิตคอยน์ล่าสุด (ปี 2568) มีมาตรการ ยกเว้นภาษีกำไร 5 ปี สำหรับธุรกรรมที่เกิดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.
4. ถ้าซื้อขายบิตคอยน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศผิดกฎหมายหรือไม่?
หากแพลตฟอร์มนั้นไม่ได้จดทะเบียนกับ ก.ล.ต. ไทย การให้บริการถือว่าผิดกฎหมาย และผู้ใช้บริการอาจไม่ได้รับการคุ้มครองหากเกิดความเสียหาย
ควรเลือกใช้แพลตฟอร์มที่มีใบอนุญาตในประเทศไทยเท่านั้น
5. สามารถใช้บิตคอยน์ซื้อของหรือชำระเงินในร้านค้าได้ไหม?
ยังไม่สามารถใช้บิตคอยน์เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการโดยตรงได้ เพราะไม่ได้เป็น “เงินตรา” ตามกฎหมายไทย
อย่างไรก็ตาม มีโครงการนำร่องที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวแปลงบิตคอยน์เป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายได้ในอนาคต
